ภูมิแพ้ รู้ให้ทัน ดูแลรักษาได้

อาการของโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้เป็นกลุ่มโรคที่แสดงอาการได้ในหลายระบบของร่างกาย เช่น โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้อากาศ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้อาหาร ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รวมถึงผื่นลมพิษเรื้อรัง โดยจะแบ่งอาการของโรคภูมิแพ้ออกเป็น 4 รูปแบบ ดังนี้

  • อาการแสดงทางระบบทางเดินหายใจ: ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ อาจมีอาการของทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น จาม มีน้ำมูก คัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหลลงคอ มีเสมหะในคอ เป็นหวัดบ่อย เป็นหวัดเรื้อรัง หูอื้อ ไอ มีเลือดกำเดาไหล เป็นต้น และอาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หายใจหอบ ไอมากตอนกลางคืน ไอหลังออกกำลังกาย หายใจมีเสียงวี้ด นอนกรน เป็นต้น
  • อาการแสดงทางผิวหนัง: เกิดเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง เช่น ผื่นแดงตามใบหน้าและลำตัว ผื่นลมพิษเป็น ๆ หาย ๆ ผิวหนังแห้ง คันตามผิวหนัก
  • อาการแสดงทางระบบทางเดินอาหาร: เช่น อาเจียน สำรอก ปวดท้อง ถ่ายเหลว
  • อาการแสดงในระบบอื่น ๆ: เช่น ปวดศีรษะ นอนหลับไม่สนิท อ่อนเพลีย

#ซึ่งอาการดังกล่าวข้างต้นมักส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน

 

โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร?

สาเหตุของโรคภูมิแพ้เกิดได้จากทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ได้แก่

  • เกิดจากพันธุกรรม
  • เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม: โดยสารก่อภูมิแพ้อาจเข้าสู่ร่างกายทางใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินหายใจ ทางการรับประทานอาหาร ทางการสัมผัสที่ผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีด หรือถูกแมลงกัดต่อยผ่านผิวหนัง สารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไรฝุ่น ละอองเกสร วัชพืช ขนสุนัข ขนแมว แมลงสาบ เชื้อรา ยาบางชนิด อาหารบางชนิด เช่น นมวัว ไข่ แป้งสาลี อาหารทะเล เป็นต้น
  • ปัจจัยอื่น ๆ: ได้แก่ อากาศเปลี่ยน การสัมผัสสารระคายเคือง เช่น ควันธูป ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง PM 2.5 ปัจจัยเหล่านี้มักเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้

 

การตรวจหาสาเหตุของภูมิแพ้

หากมีอาการของโรคภูมิแพ้ ควรได้รับการตรวจหาสาเหตุว่าเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดใด เพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุ และจะทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ดีขึ้นได้ ไม่ควรปล่อยให้มีอาการภูมิแพ้เป็นเรื้อรังหรือกำเริบบ่อยครั้ง เพราะอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ในกลุ่มที่มีอาการภูมิแพ้อากาศ อาจเกิด โรคไซนัสอักเสบ โรคริดสีดวงจมูก โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหอบหืด แทรกซ้อนตามมา หรือในกลุ่มโรคภูมิแพ้ขึ้นตา หากมีอาการเคืองตามาก โดยเฉพาะในเด็ก จะทำให้มีการขยี้ตาบ่อย ๆ จนอาจทำให้เกิดแผลบนกระจกตา ซึ่งนอกจากจะทำให้อาการแย่ลงแล้ว ยังอาจมีผลเสียต่อการมองเห็นในระยะยาวได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการของโรคภูมิแพ้ควรรีบปรึกษาแพทย์ และตรวจหาสาเหตุเพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

 

การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้สามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ

  • การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง (สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป)
  • การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้โดยการเจาะเลือด

 

การรักษาโรคภูมิแพ้

  • เมื่อทราบสาเหตุของการเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว ควรรับการรักษาและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง โดยเทคนิคการรักษาโรคภูมิแพ้ให้ได้ผลดีนั้นมีหลายวิธี เช่น
  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ แม้จะใช้ยารักษาภูมิแพ้แล้ว แต่หากไม่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ก็ยังทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบต่อไปได้
  • ใช้ยารักษาสม่ำเสมอต่อเนื่อง และใช้ยาอย่างถูกวิธี เนื่องจากโรคภูมิแพ้อากาศ มียาที่ใช้รักษาหลายตัว ทั้งยารับประทาน และยาใช้เฉพาะที่ เช่น ในผู้ป่วยที่มีอาการโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ แพทย์มักจ่ายยาพ่นให้ หรือในผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นตา ก็มักจะมียาหยอดตาด้วย หรือในผู้ที่มีอาการโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ก็จะมียาทาเพิ่มเติม เป็นต้น ดังนั้นการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีมีความจำเป็น เพราะจะทำให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้นได้
  • ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รักษาโรคร่วมอื่น ๆ เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคอ้วน

 

แม้ว่าโรคภูมิแพ้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถควบคุมโรคไม่ให้มีอาการหรือมีอาการน้อยที่สุดได้ เพราะฉะนั้นหากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ ควรตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้อาการแพ้ต่าง ๆ ดีขึ้น และส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมา